พระธรรม อพยพ 40:16-17,34-38
16พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสสให้กระทำสิ่งใด ท่านก็กระทำสิ่งนั้นทุกประการ 17ในวันที่หนึ่งเดือนแรกของปีที่สอง ท่านติดตั้งพลับพลา
34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้า ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็อยู่เต็มพลับพลานั้น 36ตลอดการเดินทางของเขา เมฆนั้นถูกยกขึ้นจากพลับพลาเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไปทุกครั้ง 37แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป 38เพราะตลอดทางที่เขายกเดินไปนั้น ในกลางวันเมฆของพระเจ้าทรงสถิตอยู่เหนือพลับพลา และในตอนกลางคืนมีไฟในเมฆนั้นประจักษ์แก่ตา ของวงศ์วานอิสราเอลทั้งปวง
1โครินธ์ 3.16 16ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
1โครินธ์ 6.19 19ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
หัวเรื่อง เราเป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสถิต
คำนำ
ครั้งที่แล้วแบ่งปันในหัวข้อ “การสร้างชีวิตแห่งการนมัสการ” กล่าวถึงอิสราเอลได้รับการไถ่ออกมาจากอียิปต์ มาตั้งถิ่นฐานในถิ่นทุรกันดารซีนาย ที่นี่พระเจ้าทรงสอนเขาเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตแห่งการนมัสการ โดยทรงให้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการนมัสการ ในบทที่ 40 หลังจากเขาทำตามที่พระเจ้าบัญชาแล้วทุกประการ ในข้อ 34 บอกว่า “ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้า ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น” ซึ่งสำแดงถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และวันนี้จะแบ่งปันในหัวข้อ “เราเป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสถิต”
- ความหมาย
1.1. แปลตรงตัวคือ สถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงสถิต (เมฆปกคลุมคือสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตของพระเจ้า)
1.2. ในพันธสัญญาเดิม
- ก่อนจะสร้างพลับพลา พระสิริของพระเจ้าปกคลุมบนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:3,16-20, 24:15-16)
19:3,16-20 3โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าตรัสจากภูเขานั้นว่า 20พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
- เมื่อโมเสสสร้างพลับพลาเสร็จพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เต็มพลับพลา (อพยพ 40:34-35)
34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้า ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
- เมื่อซาโลมอนสร้างพระวิหารเสร็จพระสิริของพระเจ้าปกคลุมทั่วพระวิหาร (1 พกษ 8:10-13)
10และอยู่มาเมื่อปุโรหิตออกมาจากวิสุทธิสถาน เมฆมาเต็มพระนิเวศของพระเจ้า 11ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้า เต็มพระนิเวศของพระเจ้า
12แล้วซาโลมอนตรัสว่า “พระเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์จะประทับในความมืดทึบ 13ข้าพระองค์ได้สร้างพระนิเวศ อันเป็นที่ประทับสำหรับพระองค์ เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะทรงสถิตอยู่เป็นนิตย์”
(เมฆที่ปกคลุมเป็นสัญลักษณ์ของพระสิริและการทรงสถิตของพระเจ้า กจ 7:49)
49'สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
1.3. ในพันธสัญญาใหม่
ผู้เชื่อทุกคนถูกเรียกว่า เป็นวิหารของพระเจ้า (1 คร 3:16, 6:19-20, 1 ปต 2:5,เอเฟซัส 2:21) ดังนั้นเราเป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสถิต
1โครินธ์ 3.16 16ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
1โครินธ์ 6.19 19ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
1 ปต 2:5 5และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 2:21 21ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
- ผู้เชื่อได้มาเป็นพระวิหารของพระเจ้าได้อย่างไร
2.1. ดูจากคำตรัสของพระเจ้า (อสย 66:1-2, กจ 7:49)
1พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้นจะอยู่ที่ไหนเล่า และที่พำนักของเราจะอยู่ที่ไหน
2.2. ดูจากคำอธิษฐานของซาโลมอน (1 พกษ 8:27-29)
27“แต่พระเจ้าจะทรงประทับที่แผ่นดินโลกหรือ ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงที่สุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้ พระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรับพระองค์ไม่ได้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด 28แต่ขอพระองค์สนพระทัยในคำอธิษฐาน ของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนนี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐานซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
2.3. ดูจากคำตรัสของพระเยซูคริสต์ (ยน 4:21, มธ 18.19-20)
21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
19เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ 20ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น”
2.4. จาการเปิดเผยในพันธสัญญาใหม่ (1 คร 3:16, 6:19-20, 1 ปต 2:5,เอเฟซัส 2:21)
1โครินธ์ 3.16 16ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
1โครินธ์ 6.19 19ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
1 ปต 2:5 5และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
เอเฟซัส 2:21 21ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
- ทำอย่างไรให้พระวิหารนี้มีความสง่างามเต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า
3.1. ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณทุกๆ วัน (1 ปต 2:5)
1 ปต 2:5 5และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
3.2. ทำให้นิเวศนี้เป็นนิเวศแห่งการอธิษฐาน (มธ 21:12-13)
13พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร”
3.3. ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์และถวายเกียรติพระเจ้า (รม 6:11-14)
11เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า 14เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ
1 โครินธ์ 6.20 20พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
3.4. จำเริญเติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ (อฟ 2:21-22)
21ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย
3.5. ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างแก่สังคม (มธ 5:16, )
16ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
สรุป
เราทุกคนที่บังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตในตัวของเรา จงให้ร่างกายนี้เป็นวิหารที่สง่างามและเต็มด้วยพระสิริของพระเจ้าทุกๆ วัน